กรดแอลลาจิก พระเอกในการต้านอนุมูลอิสระ

กรดแอลลาจิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สลายตัวมาจากเอลลาจิกแทนนิน ซึ่งแทนนินดังกล่าวไม่สามารถดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อนำไปหมักหรือผ่านความร้อน หรือเมื่อเข้าไปในกระเพาะจะถูกน้ำย่อยที่เป็นกรดสูงเปลี่ยนรูปร่างเป็นกรดที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ และเมื่อผ่านไปในลำไส้เล็ก และใหญ่ เมื่อถูกพนังลำไส้ดูดซึมผ่านไปตามกระแสเลือด และถูกกำจัดออกด้วยกระเพาะปัสสาวะ ในช่วงที่กรดเอลลาจิกผ่านก็จะทำหน้ารักษาโรคให้กับอวัยวะทุกส่วนที่ผ่าน ซึ่งประกอบด้วยกระเพาะ ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ และเมื่อเข้ากระแสเลือดผ่านส่วนต่างๆของร่างกาย ไปจนถึงกระเพาะปัสสาวะ และหลอดปัสสาวะ โดยกระเพาะและลำไส้เล็กจะได้รับประโยชน์จากกรดเอลลาจิกมากที่สุด เพราะว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่แทนนินสลายตัวเป็นกรด   

ผลการวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ากรดเอลลาจิกยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ kinase ซึ่งเป็นตัวเร็งการก่อมะเร็งต่างๆในระยะแรก เหนี่ยวนำเซลล์มะเร็งให้เปลี่ยนโครมาโซมให้กับมาเป็นเซลล์ปกติ โดยเฉพาะมะเร็งที่เกิดจากไนเตรทที่ได้จากการกินผักที่มีใช้ไนโตรเจนเข้มข้นปลูก เช่น ผักที่ได้จากการปลูกในแปลงปลูกที่ใช้ปุ๋ยไนโตเจนมาก หรือผักที่ได้จากการปลูกในน้ำที่ใช้ปุ๋ยไนโตรเจนทางน้ำ พบในมะเร็งที่เกิดขึ้นในกระเพาะ ลำไส้เล็ก และหลอดอาหาร นอกจากนั้นกรดเอลลาจิกยังต้านมะเร็งที่เกิดจากก๊าซระเหยจากน้ำมันเชื้อเพลิง บุหรี่ และควันไฟ โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานงานเติมน้ำมันตามสถานีบริการเชื้อเพลิง ซ่อมรถ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดเป็นประจำ คนที่อยู่ในบริเวณที่หมอกควันไฟมาก และคนที่อาศัยบริเวณทางขึ้นลงของเครื่องบิน ทำให้เป็นมะเร็งปอด หลอดลม และภูมิแพ้ หรืออาหารปิ้งย่างผัดโดยพาะเนื้อสัตว์ที่ต้องใช้ความร้อนสูง ที่พบในมะเร็งกระเพาะ ลำไส้เล็ก และหลอดอาหาร 

กรดเอลลาจิกทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำลายดีเอ็นเอที่ทำให้เซลล์ในร่างกายแก่ตัวเร็ว ที่เป็นสาเหตุของความชรา และทำให้คอลลาเจนและอีลาสติกคงทน ซึ่งสารทั้งสองเป็นส่วนผสมสำคัญของกล้ามเนื้อเรียบใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น เป็นส่วนประกอบสำคัญของหลอดเลือด เอ็น และกระดูกอ่อน ทำให้มีความยืดหยุ่นไม่หัก ขาด และกรอบ ซึ่งทำให้กรดเอลลาจิกมีส่วนในการรักษาโรคเซลล์หัวใจเสื่อมและตาย และหลอดเลือดกรอบและฉีกขาด เพราะว่าคอลลาเจนและอีลาสติกเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของหัวใจและหลอดเลือด คอลลาเจนและอีลาสติกยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์ขนาดใหญ่ที่มีหน้าที่คอยทำลายและฮุบเซลล์แปลกปลอมและเชื้อโรค ต้านการแพร่กระจายของต้อในตา และคอยฮุบเซลล์มะเร็งที่ตายแล้ว และขนย้ายออกจากร่างกาย ทำให้เซลล์ปกติปลอดภัยในระหว่างทางที่ขนย้าย และเซลล์มะเร็งไม่สามารถฟื้นตัวอีกหรือแพร่เข้ากระแสเลือดและน้ำเหลืองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้น 

ผลการวิจัยคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่ากรดเอลลาจิกทำลายสารลิวติน ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นเพื่อทำลายน้ำหล่อเลี้ยงข้อ กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ ทำให้ปวดเมื่อย และเมื่อน้ำหล่อเลี้ยงหมดไปสารลิวตินจะทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกในที่สุด ทำให้ต้องเปลี่ยนข้อเข่า สารลิวตินเกิดขึ้นจากการวิ่ง และกระโดด และกระแทกอย่างแรง หรือเกิดขึ้นจากการยกของหนักเกิน โรคนี้จะเป็นกับนักกีฬาที่ต้องแข่งขันกันอย่างหนัก เช่น ฟุตบอล มวย วิ่งเร็ว และอื่นๆอีกมากมาย พบว่านักกีฬาเหล่านี้จะเล่นได้ไม่นานก็ต้องเลิก เพราะทนต่อการปวดเจ็บรื้อรังไม่ได้ ผลการทดลองในผู้ป่วยปวดเข่า หลายคนรอการผ่าตัดเปลี่ยนหัวเข่า โดยให้กินกรดเอลลาจิกที่ได้จากการลำไยอบทั้งผลสามารถรักษาได้ภายใน 30 วัน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ปัจจุบันได้มีการนำกรดเอลลาจิกไปผสมในครีมทาแก้ปวดข้อและเข่า เพื่อให้ซึมผ่านผิวหนังและกล้ามเนื้อ

กรดเอลลาจิกทำลายกระเนื้อและสีตามตัว ทำให้ผิวหนังขาวเปล่งสวยขึ้น แม้แต่ผู้สูงวัย กรดเอลลาจิกจึงถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของครีม เซรั่ม และสบู่ กระเหล่านี้สัมพันธ์กับโรคความจำเสื่อม เพราะว่าเป็นเซลล์สมองเชื่อมต่อกับเซลผิวหนัง มันม้วนตัวจากผิวหนังไปอยู่ในกระโหลกตอนช่วงพัฒนาการของตัวอ่อน กระจึงส่งสัญญาณว่าเริ่มมีโรคนี้ เพราะการที่มีกระที่ผิวหนังมากแสดงว่ากระเกาะที่เซลล์สมองมากเช่นกัน ปิดกั้นการทำงานของสมอง และมากขึ้นความจำก็เริ่มลดลง และหากปิดกั้นปลายเส้นเลือดฝอยไปหล่อเลี้ยงเส้นประสาทและเซลล์สมองจะทำให้เซลล์สมองเริ่มฝ่อ สมองฝ่อเป็นสาเหตุการตายของผู้สูงอายุ ดังนั้นอย่างปล่อยให้กระขึ้นด้วยความเข้าใจว่าเป็นกรรมพันธุ์ หรืออายุมากขึ้น 

กรดเอลลาจิกสามารถซึมผ่านผิวหนังและกล้ามเนื้อได้ ทำให้สามารถทำลายกระ ทำให้ผิวเรียบขึ้น ลดการปวดเมื่อย และรักษาข้อเสียได้ เช่น เดียวกับการรับประทาน สามารถผสมในครีมทาหน้า ครีมนวดตัว สบู่ และเซรั่ม  

กรดเอลลาจิกเป็นอาหารของแบคที่เรียที่เป็นประโยชน์ เช่น แลคโตรบาซีลัส และฟรีไบโอติกอื่น ที่อยู่ในลำไส้เล็กด้วย ทำให้แบคที่เรียเหล่านั้นเติบโตเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะการต้านสารอนุมูลอิสระในลำไส้เล็ก 
เอลลาจิกแทนนินอยู่ในพืชหลายชนิดประกอบไปด้วย ลำไย ทับทิม และมะขามป้อม ผลงานวิจัยของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบใบอ่อนลำไยพบสายน้ำผึ้ง ดอยอดแดง ดอ49 และนครพนม มีเอลลาจิกแทนนินประมาณ 10 มิลลิกรัมต่อกรัม ของใบแห้ง ซึ่งถือว่ามากที่เดียว ประมาณ 10 เปอร์เซ็น ของน้ำหนักใบแห้ง นอกจากใบแล้วยังพบในเมล็ด เปลือก และเนื้อ แต่ต่ำมาก 
ในสหรัฐพัฒนากรดเอลลาจิกจำหน่ายเป็นอาหารเสริมจากใบทับทิม โดยพบในทับทิมสายพันธุ์ที่มีสีแดง ที่มีขนาดเล็กสีแดง สำนักงาน อย ของสหรัฐให้การรับรองอาหารเสริมดังกล่าว

มะขามป้อมมีเอลลาจิกมากซึ่งเป็นส่วนผสมในตรีผลา ซึ่งเป็นยาที่พระพุทธองค์ให้หมอชีวกะกุมารปรุงเพื่อใช้รักษาพระภิกขุและประชาชนทั่วไปที่เจ็บป่วย ในปัจจุบันตรีผลายังถูกนำไปใช้ทั้งบรรจุแคปซูล และน้ำผลไม้ดื่ม 
เอลลาจิกแทนนินพบปริมาณที่รองลงมาในพืชบ้างชนิด เช่น แบคเบอรี่ แคนเบอรี่ รัสเบอรี สตอรเบอรี่ วัลนัท วัฟเบอรี่ เปลือกและเมล็ดองุ่น และท้อ ในอนาคตหากงานวิจัยในแถบร้อนมากขึ้น อาจพบในพืชผลและไม้ป่าเขตร้อน เช่น ตะขบ หว้า หยี่ เป็นต้น
ควรรับประทานกรดเอลลาจิกเป็นประจำทุกวัน เพราะว่ากรดดังกล่าวไม่คงทนและอยู่ในร่างกายได้ไม่นาน ประมาณ 24 ชั่วโมงเท่านั้น เลือกรับประทาน เช่น เอลลาจิกจากใบลำไยอ่อนหรือทับทิม 1-2 แคปซูล ตื่นนอนและก่อนนอน ผลลำไยอบแห้งทั้งผล 10 ผล หรือเอลลาจิกผง 3 ช้อนชา ผสมในข้าวก่อนหุง หรือต้มจืดก่อนต้ม กรดเอลลาจิกเป็นสารชูรสด้วย ทำให้อาหารอร่อยวิธีการนี้จะได้กินทั้งครอบครัว น้ำลำไยที่ทำจากลำไยอบแห้งทั้งผลมีสีดำ 1 แก้ว วีนีก้าลำไย น้ำหมักลำไย น้ำหมักมะขามป้อม น้ำมะขามป้อม หรือน้ำทับทิม 1 แก้ว ต่อวัน หรือผงเอลลาจิก 1 ช้อนชา ผสมในน้ำ กาแฟ หรือชา ดื่มประจำ หรือกาแฟสำเร็จรูปที่ผสมเอลลาจิก 1-2 แก้ว ก็เพียงพอต่อการป้องกันร่างกาย แต่หากเป็นมากก็เพิ่มปริมาณ จะทำให้คนในครอบครัวปลอดภัยจากโรค เพราะว่ากรดเอลลาจิกรักษาร่างกายทุกส่วน และต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของหวัด และไอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเจ็บปวด

ในประเทศจีน นิยมกินลำไยดำ หรือลำไยอบแห้งทั้งผลมานาน เป็นสินค้าหลักหนึ่งที่สั่งซื้อจากประเทศไทยจากโรงอบลำไยในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย ใช้ผสมในข้าวและน้ำดื่มเป็นประจำ และพบว่าคนงานจากเตาอบลำไยทั้งผลไม่มีอาการเจ็บป่วยเลย เพราะต้องชิมลำไยที่อบก่อนเสมอ   
ที่สก๊อตแลนด์พบว่าวิสกี้ที่ผลิตจากเบอรีมีกรดเอลลาจิกมาก ทำให้เป็นที่นิยมของนักดื่ม ปัจจุบันมีวิสกี้ลำไยที่ผลิตในจังหวัดเชียงใหม่จำหน่าย และได้รับความนิยมจากนักดื่มเช่นกัน เพราะว่ามีเอลลาจิกลดแผลถลอกของกระเพาะได้ดีกว่าวิสกีบริสุทธิ์ ทำให้ดื่มได้นานและมากกว่า และป้องกันโรคด้วย แต่อย่างไรก็ตามต้องระวังโทษของแอลกอฮอร์ด้วย หากดื่มมากเกิน
ใช้ครีม สบู่ หรือเซรั่มทาส่วนที่ปวดหรือเป็นกระทุกวัน จะทำให้กรดเอลลาจิกซึมเข้าในผิวหนังและกล้ามเนื้อ ลดอาการและโรคที่เกิดขึ้นได้

กรดเอลลาจิกที่สกัดเข้มข้นเป็นอิสระบริสุทธิ์ใช้มากจะมีพิษต่อร่างกาย เป็นสารที่ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ไม่ควรนำมาใช้ในปริมาณมากๆ ทั้งนี้เพราะการทำให้บริสุทธิ์ทำให้เกิดสารเอลลาจิกที่มีความอิสระมากเกินจำนวนเป็นล้านโมเลกุลต่อน้ำหนักเม็ดที่ใช้และเหนี่ยวนำให้เกิดโรคต่างๆได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง